GIN Story

Author : Wizardจอมสาระแน

A/N:ตอนนี้เนื้อเรื่องค่อนข้างยาวเป็นพิเศษ และจะเท้าความกลับไปตั้งแต่ ยีนยังไม่เข้าองค์กรด้วยซ้ำไป ขอให้เตรียมตัวนอนหลับฝันดี เพราะเรื่องในอดีตมักเท้าความได้ไม่ต่ำกว่า2ตอนด้วยซ้ำไป^^ ค่อนข้างอ่านยากขออภัย ณ.ที่นี้ด้วย

File4

ในห้องโถงใหญ่ที่แสนจะมืดมิด จะมีก็เพียงแสงสว่างเพียงเล็กน้อยที่สาดส่องเข้ามาจากหน้าต่างบานเล็กๆเพียงบานเดียวเท่านั้น แต่แสงสว่างเพียงเท่านี้ก็ทำให้สามารถเห็นบรรยากาศภายในห้องได้แล้ว มันเป็นห้องโถงคล้ายห้องประชุมใหญ่ที่ดูหรูหรา และโออ่ามาก แต่ที่น่าแปลกก็คือ บนพื้นที่ปูพรมอย่าสวยหรู กลับเรียงรายไปด้วยสิ่งมีชีวิตจำนวนมาก ทุกร่างล้วนเป็นสัตว์มีพิษและมีขนาดใหญ่ และที่สำคัญที่สุด คือ …ทุกร่างไม่มีชีวิตแล้ว…!!!

ในห้องที่แสนจะมืดมนนั้น เต็มไปด้วยกลิ่นดินปืนและกลิ่นคาวเลือดที่เหม็นอบอวลไปทั่ว และในมุมที่มืดที่สุดของห้อง มีร่างเล็กๆร่างหนึ่งนั่งชันเข่าอย่างสงบอยู่ ดูเหมือนจะเป็นเด็กอายุราวๆ 5-6 ขวบ ร่างๆนั้นนั่งอยู่อย่างไม่ขยับเขยื้อน มือทั้งสองข้างของเค้าถือปืนที่ดูจะใหญ่กว่ามือของเค้าหลายเท่านัก ปืนและมือทั้งสองข้างของเค้ามีแต่เลือดติดอยู่เต็มไปหมด รวมไปถึงบริเวณเสื้อผ้าและร่างกายก็เปลอะเปลื้อนไปด้วยสีแดงฉานของเลือดด้วยเช่นกัน แต่ถ้าดูให้ดีแล้ว….ทั้งหมดไม่ใช่เลือดของเค้าเองเลย….!!??

ความสว่างในห้องที่แม้จะมีอยู่น้อยนิด แต่ก็ทำให้เห็นใบหน้าที่ขาวใสและเยาว์วัยของร่างน้อยได้ เด็กชายเจ้าของเรือนผมสีเงินเงางาม เปล่งประกายท่ามกลางความมืดร่างนั้นก็คือ ยีน นั่นเอง

“ฝีมือดีขึ้นนิ ยีน” ชายร่างสูงเอ่ยขึ้นมา พร้อมกับย่างเท้าเข้ามาหาเด็กชายตัวน้อย ซึ่งขณะนี้ข้างกายของเค้ารายล้อมไปด้วยศพงูพิษจำนวนมากที่เค้าเองพึ่งจะปลิดชีวิตไปโดยใช้เวลาแค่อึดใจเดียว อสรพิษเหล่านั้นแทบไม่ได้สร้างบาดแผลอะไรบนตัวเค้าเลย

ร่างสูงเอื้อมมือมาจับที่หัวของเด็กชาย พลางลูบไล้ไปมาบนเรือนผมสีเงินเงางามสีเดียวกับเค้าไม่ผิดเพี้ยน เค้าคือพ่อของยีนนี่เอง
ผู้เป็นพ่อกล่าวชม พร้อมกับใช้อุ้งมือขนาดใหญ่ของเค้าลูบไล้เส้นผมที่อ่อนนุ่มเบาๆ เมื่อเห็นว่าลูกชายที่เค้าภาคภูมิใจสามารถผ่านการทดสอบไปได้อีกขั้นนึง รสสัมผัสนี้ถึงกับทำให้เด็กชาย ที่ขณะนั้นร่างกายและมือทั้งสองข้างเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดงูรู้สึกดีใจที่สุด เพราะนานๆครั้งเท่านั้นที่พ่อของเค้าจะออกปากชมสักครั้งนึง

ยีนในตอนนั้น ถูกเคี่ยวเข็ญให้ฝึกวิธีการลอบสังหารต่างๆนานา ซึ่งนั่นเป็นเรื่องที่โหดร้ายทารุณและน่ากลัวที่สุดสำหรับเด็กอายุ 6 ขวบ ด้วยกัน…..แต่การฝึกยังคงดำเนินต่อไป ทุกวัน…ทุกชั่วโมง…ทุกวินาที…

แต่ถึงอย่างไร เด็กน้อยผู้น่าสงสารก็ไม่ได้แสดงอารมณ์อะไรออกมาแม้แต่น้อย ไม่มีความรู้สึก ไม่มีรอยยิ้ม ไม่มีแม้น้ำตา…เค้าเป็นเครื่องจักรฆ่าคนสมบูรณ์แบบ…ยีนถูกฝึกเทคนิคการลอบสังหารเรื่อยมา… จนหัวใจของเค้าเริ่มชาชินต่อความตาย และได้ถูกปิดผนึกอย่างสมบูรณ์โดยไร้ที่ติ เค้าไม่เคยเปิดใจให้ใคร แม้แต่คนในครอบครัวเอง…ก็แทบไม่เคยมีใครได้เห็นใบหน้าที่แสดงอารมณ์ที่แท้จริงของเค้ามากนัก

“ขะ…ขอบคุณฮะ” ยีนยิ้มเล็กๆโดยไม่รู้ตัว แต่ก็หุบยิ้มเกือบจะในทันที

พ่อของยีนแอบเห็นรอยยิ้มของเด็กชาย รอยยิ้มในแบบที่แทบจะไม่เคยเห็นมาก่อน ราวกับว่าในหน้าน้อยๆที่อ่อนเยาว์นั้นจะไม่เคยได้แสดงอารมณ์-ความรู้สึกที่แท้จริงออกมาเป็นเวลานานมากแล้ว ตั้งแต่พ่อแม่ของยีนได้แยกทางกันตั้งแต่ยีนยังเล็กมาก

แต่ยีนก็ไม่ได้เก็บเรื่องนี้มาคิดอะไรมากนัก เพราะเค้ายังมีพ่ออยู่ พ่อที่เป็นครอบครัวเพียงหนึ่งเดียว(ยีนไม่มีญาติ) อย่างน้อยเค้าก็รู้ว่าพ่อจะไม่ทอดทิ้งเค้า….ถึงพ่อจะดูเฉยชา เหมือนไม่สนใจว่าเค้าจะเป็นยังไง แต่ยังไงๆพ่อก็เป็นห่วงเค้าอยู่เสมอ ยีนรู้ข้อนี้ดี

แต่…..เหตุการณ์ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น

พ่อของยีนประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์เสียชีวิต ทำให้ตอนนี้ยีนต้องอยู่เพียงลำพังแล้ว…

ค่ำคืนนี้เป็นคืนที่พระจันทร์เต็มดวงสวยงามยิ่งนัก หิมะที่ตกลงมามันช่างรับกับบรรยากาศที่เย็นยะเยือกของฤดูหนาวได้ดีจริงๆ ดวงจันทร์ที่เปล่งแสงรัศมีนวลผ่อง ราวกับว่ามันตั้งใจจะปลอบโยนเด็กน้อยด้วยแสงอันอบอุ่นอยู่ ยีนในขณะนี้รู้สึกอ้างว้างเดียวดายยิ่งขณะหยุดเดินอยู่หน้าหลุมศพสง่างามตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้าของเค้า เค้าคิดถึงวันคืนที่มีความสุขกันพ่อของเค้า คิดถึงเรื่องราวที่ผ่านมาอย่างยากที่จะลืมเลือนได้ แต่ถึงอย่างไร เด็กน้อยก็แทบไม่ได้แสดงอารมณ์อะไรออกมาแม้แต่น้อย ไม่มีความรู้สึกอะไรทั้งสิ้น ไม่มีแม้กระทั่งน้ำตา!…สิ่งที่พอแสดงอารมณ์ได้มีเพียงใบหน้าที่ดูไร้วิญญาณเท่านั้น

ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างหลังยีนได้แต่ยืนนิ่งไม่พูดอะไรออกมา ในหัวเค้าตอนนี้คิดว่า เค้าเข้าใจความรู้สึกของฝ่ายนั้นได้ดี ตัวเค้าในวัยเด็กนั้น ต้องสูญเสียพ่อแม่ไปเพราะอุบัติเหตุ ทำให้เค้าต้องอาศัยอยู่ลำพังมาโดยตลอด ในกรณีของยีนก็คงจะเหมือนกันที่ในขณะนี้ เค้าคงต้องอยู่เพียงลำพังแล้ว…หลังจากที่ปล่อยให้บรรยากาศปกคลุมไปด้วยความเงียบ ชายหนุ่มจึงพูดขึ้นว่า

“ แล้วต่อจากนี้ไปเธอจะทำยังไงต่อไปรึ?ยีน”

“แล้ว…คุณเป็นใครครับ? “ เด็กน้อยถามขึ้นอย่างหวาดๆ

ชายหนุ่มพยักหน้า “ เธอพูดถูก ชั้นยังไม่ได้แนะนำตัว ชั้น ปิสโก เป็นคนรู้จักของพ่อเธอ แล้วเรื่องตะกี้เธอว่าไง?

ผมเอง…ก็ยังไม่รู้เหมือนกัน แม่ผมย้ายไปอยู่ฝรั่งเศสนานแล้ว และผมก็ไม่มีญาติที่ไหน ไม่รู้ว่าแม่จะรับผมไปอยู่ด้วย…อุ๊บ!!! ชายหนุ่มรีบเอามือปิดปากของอีกฝ่ายทันทีที่เหมือนรู้ว่ากำลังจะพูดอะไร ในใจเค้าคิดว่า ยีนนั้นเผชิญกับเหตุการณ์เลวร้ายมามากพอแล้ว จึงไม่ต้องการให้เค้าคิดอะไรที่มันมีแต่จะทำให้เค้าเจ็บปวดมากขึ้น ชายหนุ่มพูดขึ้นว่า

“ เรื่องนั้นเอาไว้ก่อนเถอะ เอาเป็นว่าตอนนี้เธอก็พักอยู่กับชั้นไปก่อนแล้วกัน เรื่องอื่นๆอย่าเพิ่งคิดเลย แล้วหลังจากนั้นจะเอายังไงก็ค่อยว่ากันอีกที ส่วนเรื่องแม่ของเธอ…เออ…ชั้นจะลองติดต่อแม่เธอดู…เพื่อว่าแม่เธอ(อาจจะ)อยากรับเธอไปอยู่ด้วยนะ ”

คำพูดสุดท้ายเพียงประโยคเดียวนี้ ทำให้ยีนรู้สึกสับสนและเจ็บปวดเป็นอย่างมาก หัวใจของเค้าที่เดิมไม่ค่อยมีความรู้สึกอะไรอยู่แล้ว แต่คราวนี้กลับรู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวเป็นอย่างยิ่ง…

………………………………………………..

3วันต่อมา ณ เครื่องบินวีซี –10ของสายการบินแอร์ฟร้านซ์ มุ่งสู่ฝรั่งเศล ปารีส เวลา0.50น.

" ฮ้าวววว... อ้าว! ยีนตื่นเมื่อไหร่ล่ะเนี่ย " ปิสโกพูดไปพลางเอามือขยี้ตาไปพลางเพื่อให้หายจากอาการสลึมสลือ

" ก็ได้สักพักแล้วฮะ " ยีนตอบหลังจากปิดหนังสือไกด์บุ๊คเล่มหนา
" อ่านประวัติของประเทศนี้อยู่ล่ะสิ.... ยีน"
" ก็ใช่น่ะสิ อย่างน้อยควรรู้ไว้ก่อนนี่ฮะ เพราะยังไงๆผมก็ต้องอยู่ที่นี้อยู่แล้วนี่น่า เออ…ปิสโก ผมขอถามอะไรหน่อยสิ”

"ก็เอาสิ เห็นได้ชัดว่าเธอกำลังถาม”

“คุณบอกแม่ผมยังไง แม่ถึงยอมรับผมไปอยู่ด้วย”

“…เออ..ก็แค่พูดธรรมดาๆเท่านั้นเอง…” ยีนรู้ทันทีจากสายตาของปิสโกว่าที่พูดมาไม่ใช่ความจริง ปิสโกเองก็รู้ว่ายีนรู้ว่าเค้าไม่ได้พูดความจริง แต่ยีนก็ไม่สนใจนัก เค้าเองก็กลัวที่จะได้รู้ความจริง บางทีแม่อาจจะพูดว่า”ชั้นไม่ต้องการเด็กคนนี้“ ก็เป็นได้ เพราะตลอดระยะเวลาที่แม่จากไป แม่ไม่เคยติดต่อหรือมาเยี่ยมเค้าซักครั้งเดียว ยีนจำแม่ไม่ได้มากนัก รู้แค่ว่าแม่แต่งงานใหม่และย้ายไปอยู่ฝรั่งเศสนานแล้ว เรื่องของแม่เท่าที่ยีนจำได้นั้น พ่อกับแม่มักจะเถียงกันบ่อยๆ ไม่รู้เรื่องอะไรแต่เสียงดังมาก ข้าวของในบ้านกระจุยกระจาย และแม่จะแอบไปร้องไห้อยู่คนเดียวในห้อง ส่วนพ่อ….สีหน้าตอนนั้นของพ่อช่างดูขื่นข่มเหลือเกิน......

วันหนึ่งแม่ออกไปข้างนอกแล้วไม่ได้กลับมาอีกเลย แต่ก่อนไปยีนถามแม่ว่าจะไปไหน?

แม่ตอบด้วยเสียงนุ่มนวลแต่ดูเศร้าอยู่ภายใน “สักวันลูกจะเข้าใจ” แต่จนถึงเดี๋ยวนี้ยีนก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าแม่หมายความยังไง

ยีนยังไม่ทันคิดอะไรต่อ ก็มีเสียงจากลำโพงประจำเครื่องบินดังกังวาลไปทั่ว

" ขอให้ทุกท่านตรวจสอบสัมภาระและสิ่งมีค่าที่ติดตัวมาให้เรียบร้อย เพื่อประโยชนของตัวท่านเอง และสุดท้ายนี้ขอขอบคุณทุกท่านที่ใช้บริการของเรา " เสียงของพนักงานประจำเครื่องบินดังกังวาลอย่างนุ่มนวลเพื่อเจ้งให้ผู้โดยสารทุกคนทราบ

" เอาละ " หลังจากเอาสัมภาระแล้ว ทั้งคู่ก็ออกจากสนามบินไปเพื่อเดินทางไปยังสถานที่นัดหมาย…

 

ณ. โรงแรมวินด์เซอร์

" แอ้ดดดดดด " เสียงเบาๆของประตูทางเข้าที่ค่อยๆเปิดออก พร้อมกับการปรากฏของเงาร่างของผู้หญิงที่มีผมสีทองตาสีฟ้าสดใส เธอทำงานเป็นนักข่าวของสำนักงานเล็กๆในปารีส แต่ความจริงเธอทำงานเป็นสายข่าวให้กับทางองค์กร เธอไม่มีโค้ดโนมเหมือนคนอื่นๆ แต่คนในองค์กรทุกคนก็รู้จักเธอ

“ไง เคทเทอร์ ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ”ปิสโกทักทายหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้า

“หวัดดี ปิสโก ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ ไง ยีน…ลูก…สบายดีมั้ยจ๊ะ…” เธอพูดไปพร้อมๆกับจ้องมองเข้าไปในดวงตาที่เศร้าสร้อยของยีน หลังจากนั้นเธอก็ใช้มือที่นุ่มนวล และอ่อนโยน ของเธอแหวกผมสีเงินที่ปลกหน้าของเด็กน้อยออก เพื่อจะได้เห็นดวงตาสีเงิน ซึ่งตอนนี้หมองหม่นจนเกือบจะเป็นสีดำสนิทแล้ว…ยีนรู้สึกมึนงงเป็นอย่างมากในการกระทำของเธอ แต่เค้าไม่ได้พูดอะไรเลยแม้ว่าแม่จะพูดกับเค้าด้วย แต่ความจริงหัวใจของเค้าเต้นแรงขึ้นทุกทีๆ และรู้สึกราวกับว่า ดวงตาสีฟ้าสดใสของแม่จะมองทะลุเข้าไปถึงข้างในหัวใจของเค้าได้อะไรอย่างนั้นแหละ…

“ยีนอาจต้องการอยู่เงียบๆ” ปิสโกพูดขึ้นเมื่อเคทเทอร์หันมาปรึกษา

เคทเทอร์มองหน้ายีนอย่างเข้าใจ…ถึงยีนจะเป็นคนที่ดูเย็นชา จริงๆ แล้วเป็นคนที่อ่อนไหวมาก แต่เก็บอารมณ์ไว้ไม่แสดงออกมา ยีนจึงดูเป็นผู้ใหญ่กว่าเด็กวัยเดียวกัน ขณะเดียวกันก็มีปมด้อยมากกว่าเด็กในวัยเดียวกัน แถมยีนก็ยังโหดเหี้ยมแบบอำมหิตกว่าเด็กวัยเดียวกัน แต่มันก็ไม่ได้ช่วยลดปมด้อยเรื่องที่พ่อแม่หย่าร้างกันได้หรอก(คนเค้าจะพูดอีกว่า พ่อแม่ไม่สั่งสอน) และพวกเพื่อนๆ ที่โรงเรียนมักชอบล้อเลียนเรื่องนี้ แต่เด็กน้อยก็ไม่แสดงความรู้สึกใดๆออกมาทั้งสิ้น ดวงตาของเค้าช่างมืดมิด และไร้ความรู้สึก ช่างเป็นแววตาที่ไร้หัวใจอะไรเช่นนี้ ราวกับว่าไม่มีความรู้สึกนึกคิดอะไรอยู่ข้างในทั้งนั้น ดวงตาสีเทาสนิทของเค้า แทบจะกลืนกินผู้คนที่จ้องมองเข้าไปในห้วงแห่งความลึกที่ไม่มีที่สิ้นสุดได้ ถึงมันจะเป็นแววตาที่ไม่สะท้อนเงาใดๆ แต่ถึงกระนั้นลึกๆมันก็เปี่ยมไปด้วยความเศร้า…… เวลามีใครพูดถึงเรื่องนี้….ถึงมันจะเป็นเรื่องจริง แต่ว่าก็ทำใจยอมรับไม่ได้ ….

ท่ามกลางความเงียบ แม่ค่อยๆยื่นหน้าเข้าไปใกล้ยีนมากขึ้นๆ สร้างความตกใจให้เค้าเป็นอย่างมาก

“นี่!...ยีนไม่สบายอยู่เหรอ?…เป็นอะไรรึเปล่า?” แม่ยิ้มอย่างอ่อนโยนให้ยีน ตอนนี้ฟ้าเริ่มสางแล้ว ผมสีทองเจริดจรัสของเธอสะท้อนกับแสงยามเช้า เป็นประกายสวยงามมาก

เด็กชายผมสีเงินจ้องหน้าของแม่แล้วตอบกลับด้วยแววตาที่ไม่สะท้อนเงาใดๆ และได้สติกลับคืนมาอีกครั้งและฟังผู้ใหญ่สองคนคุยกันต่อ ตามที่ยีนจับใจความจากที่แม่และปิสโกคุยกัน สรุปว่า ยีนต้องเปลี่ยนชื่อ นามสกุล ตามครอบครัวใหม่เป็น ยีน พอลเล็ตต์ (ตามนามสกุลพ่อใหม่) คาร์ล พอลเล็ตต์ พ่อใหม่ของยีนไม่ได้เป็นคนในองค์กร พูดตามจริงคือไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับองค์กรเลยและก็ไม่รู้เรื่องที่ภรรยาเป็นคนขององค์กร เค้าคิดว่าเธอเป็นเพียงนักข่าวธรรมดาๆเท่านั้น หากเค้าทราบล่ะว่าภรรยาของเค้าเป็นคนขององค์กรที่ได้ชื่อโหด โฉด เหี้ยม ที่สุดล่ะก้อ….. ส่วนเรื่องเอกสารที่จำเป็นต้องใช้ ทางองค์กรจัดการให้แล้ว ดังนั้นเป็นที่เรียบร้อยว่า ยีนได้อยู่ในฝรั่งเศสอย่างถูกต้องตามกฎหมาย โดยต้องอยู่ภายในสายตาของสมาชิกองค์กรคนอื่นๆ ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องปกติ…หากยีนเกิดปากเปราะไปคุยเรื่ององค์กรให้คนอื่นๆ ฟัง...คงไม่ต้องพูดถึงว่าจะเกิดอะไรขึ้น...ตามธรรมเนียม ไม่มียกเว้น แม้ว่าพ่อแม่ของยีนจะเป็นสมาชิกระดับสูงพอสมควร….

………………………………….

<< File 3

File 5 >>

One-shot / เรื่องสั้น Series / เรื่องยาว Poem / กลอน Dark Zone

Home  /  Update  /  Just so Story...  /  Novel Game  /  Doujinshi  /  Crazy art  /
โรงน้ำชา CJR  /  Have a look!!!  Crazy things  /  Link